แนวข้อสอบเชิงกลยุทธิ์เศรษฐศาสตร์
โจทย์ เป็งกีสข่านกล่าวไว้ในกาละลุถึงไตรมาสที่ 3 แห่ง พุทธศักราช 2557 ว่า “ผู้นำองค์การที่ไร้วิสัยทัศน์ที่เหมาะสมย่อมนำพาองค์การไปสู่ภาวะความสิ้นสุดความเป็นองค์การ (Organizational Termination) ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ว่ายวนอยู่ในความแปรปรวนภายในองค์การจนยากที่จะอยู่รอดได้ ในสภาพแวดล้อมภายนอกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป” และได้แสดงทัศนะที่มีต่อผู้บริหารประเทศในปัจจุบันสมัยว่า “ผู้นำประเทศที่มีวิสัยเช่นม้าเมืองลำปางเช่นกันย่อมนำพาประเทศไปสู่ภาวะอับจนของความสิ้นสุดความเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจ-การเมืองของตนเองอย่างแท้จริงและยากที่จะส่งเสริมให้ประเทศดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีเศรษฐกิจ-การเมืองระหว่างประเทศ”
ให้นักศึกษาเลือกทัศนะใดทัศนะหนึ่งจากทัศนะทั้ง 2 ข้างต้น เพื่อ
1) แสดงความคิดเห็นต่อทัศนะดังกล่าว
2) เสนอคำนิยามของ “วิสัยทัศน์ (vision)”*และวินิจฉัยว่า วิสัยทัศน์มีประโยชน์ต่อ (1) การวินิจฉัยปัญหาเชิงกลยุทธ์ (Diagnosis of strategic problems) (2) การวิเคราะห์ระดับการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ (3) โครงสร้างองค์การและวัฒนธรรมองค์การ ตลอดจน (4) การเลือกแนวทางในการวางแผนและการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติอย่างไร
3) วินิจฉัยว่า วิสัยทัศน์มีความเชื่อมโยงกับและมีประโยชน์ต่อการควบคุมเชิงกลยุทธ์อย่างไร โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกระบวนการ
1) แสดงความคิดเห็นต่อทัศนะดังกล่าว
ตอบ เห็นด้วย เพราะถ้าผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์จะทำให้ขาดทิศทางในการทำงาน ไม่มีเป้าหมาย ขาดประสิทธิภาพประสิทธิผล ขาดพันธะผูกพัน ขาดการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขาดการพิจารณาเรื่องเงื่อนเวลา ขาดการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่รู้อนาคต ขาดการมองการณ์ไกล เสียความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถมองและแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาได้ สูญเสียความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทำให้องค์การสูญสลยไปในที่สุด
2) เสนอคำนิยามของ “วิสัยทัศน์” และวินิจฉัยว่าวิสัยทัศน์มีประโยชน์ต่อการวินิจฉัย
ปัญหาเชิงกลยุทธ์ การวิเคราะห์ระดับการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ โครงสร้างองค์การและวัฒนธรรม ตลอดจนการเลือกแนวทางในการวางแผน และนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติอย่างไร
ตอบ วิสัยทัศน์ หมายถึง เจตน์จำนงค์ ความมุ่งหวังที่กว้าง ครอบคลุมทั้งหมดคิดไปข้างหน้า คิด
ถึงสิ่งที่พึงปรารถนาในอนาคตโดยไม่ระบุถึงวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
|
|||||
![]() |
|||||
![]() |
กระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์มี 5 ขั้นตอน คือ
คือ กระบวนการตรวจสอบติดตามสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกภายในองค์การที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของเป้าหมายขององค์การ เพื่อค้นหาสิ่งคุกคามและโอกาส ตลอดจนความพร้อม
จุดแข็ง จุดอ่อนภายในองค์การทั้งในปัจจุบันและอนาคต
1) กำหนดวิสัยทัศน์ คือ เจตน์จำนง ความมุ่งหวังปรารถนาในอนาคตอย่างกว้างขวาง
ยิ่งใหญ่ ยาวไกล สูงส่งและลึกล้ำ ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง
2) กำหนดพันธกิจ คือ การแปลงวิสัยทัศน์ซึ่งเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม การสร้าง
พันธกิจให้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้านควรตอบคำถาม 9 ข้อดังนี้
2.1) เหตุผลที่องค์การของเราต้องมีอยู่
2.2) ผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์การเราคืออะไร
2.3) เราจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร
2.4) เอกลักษณ์ขององค์การเราคืออะไร
2.5) เราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า
2.6) ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการหลัก ๆ คือใคร
2.7) สินค้าและบริการของเราในปัจจุบันและอนาคตคืออะไร
2.8) สิ่งที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจหลัก ๆ ของเราคืออะไร
2.9) ความเชื่อ ค่านิยมขององค์การของเราคืออะไร
การกำหนดพันธกิจทำให้ผู้บริหารสามารถจัดลำดับความสำคัญ ช่วยในการตัดสินใจ
และรู้เกณฑ์ผลการปฏิบัติงาน สามารถให้นิยามของธุรกิจขององค์การได้
3) กำหนดจุดมุ่งหมาย 8 ประการ
3.1) ความสามารถในการทำกำไร
3.2) ผลิตภาพ
3.3) ตำแหน่งทางการตลาด
3.4) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์
3.5) การพัฒนาบุคลากร
3.6) ทัศนคติของบุคลากร
3.7) ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
3.8) ดุลภาพระหว่างจุดมุ่งหมายระยะสั้นและระยะยาว
เมื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและกำหนดทิศทางขององค์การแล้วก็มาถึงการกำหนดทางเลือกในการปฏิบัติหรือกลยุทธ์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าองค์การจะบรรลุความสำเร็จ โดยอาศัยเครื่องมือในการสร้างกลยุทธ์ ได้แก่ SWOT Analysis, Critical Question Analysis, GE’s Multifactor Portfolio Matrix
ผู้บริหารจะต้องเข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ในการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ
1) องค์การจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด
2) การจัดการวัฒนธรรมองค์การ
3) โครงสร้างที่เหมาะสม
4) วิธีการเลือกกลยุทธ์ไปปฏิบัติ
5) ทักษะของผู้บริหารที่ต้องการ
ตัวแบบ 5 ขั้นตอนของกระบวนการแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ
![]() |
|||||||
![]() |
![]() |
||||||
![]() |
โมเดลกระบวนการควบคุมเชิงกลยุทธ์
![]() |
|||||||
![]() |
|||||||
![]() |
|||||||
![]() |
|||||||
![]() |
|||||||
![]() |
|||||||
การควบคุมโดยทั่วไป หมายถึง การทำให้สิ่งที่วางแผนเอาไว้เกิดขึ้น แต่การควบคุมเชิงกลยุทธ์จะมีจุดเน้นที่การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่วางแผนไว้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
เริ่มจากการวัดผลงาน เปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมาย 8 ประการ มาตรฐาน ถ้าได้มาตรฐาน ไม่ต้องแก้ไข ถ้าไม่ได้มาตรฐานทำการแก้ไขโดยปรับเปลี่ยนแผน, ปรับเปลี่ยนองค์การหรือปรับเปลี่ยนวิธีการ แล้วปรับเปลี่ยนการทำงานเป็นวิธีใหม่ จากนั้นทำการวัดผลงานอย่างต่อเนื่องต่อไป
สิ่งที่ผู้บริหารต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ คือ การปฏิบัติการด้านต่างประเทศและบริษัทข้ามชาติ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อองค์การ และความรับผิดชอบต่อสังคมที่อาจจะมีผลกระทบต่อองค์การ
โครงข่ายการวิเคราะห์ในการบริหารเชิงกลยุทธ์ใช้การวิเคราะห์ด้านการผลิต, การเงิน และการตลาด
3) วินิจฉัยว่า วิสัยทัศน์มีความเชื่อมโยงกับการควบคุมเชิงกลยุทธ์อย่างไร
หลังจากเริ่มต้นประเมินสถานการณ์สภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อหาโอกาสและอุปสรรคขององค์การ และสภาพแวดล้อมภายในเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อประเมินความพร้อมและขีดความสามารถขององค์การ ก็จะได้ข้อมูลมากำหนดทิศทางและเจตน์จำนง คือ วิสัยทัศน์ขององค์การแปลงวิสัยทัศน์ให้เป็นรูปธรรมโดยกำหนดภารกิจหรือพันธกิจ แล้วกำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อให้
พันธกิจสำเร็จ แล้วจึงกำหนดวัตถุประสงค์ ต่อจากนั้นทำการกำหนดกลยุทธ์ แล้วเลือกกลยุทธ์ที่เห็นว่าเหมาะสมไปปฏิบัติ จากนั้นทำการควบคุมเชิงกลยุทธ์แล้วส่งข้อมูลย้อนกลับไปยังขั้นตอนต่าง ๆ นอกจากขั้นตอนทั้งห้าขั้นแล้วต้องคำนึงถึงปัจจัยพิเศษ คือ ปฏิบัติการด้านการต่างประเทศ และบริษัทข้ามชาติกับความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์การ แล้วใส่ข้อมูลการวิเคราะห์ 3 ด้านเข้าไปด้วย คือ การวิเคราะห์ด้านการผลิต, การวิเคราะห์ด้านการเงิน และการวิเคราะห์ด้านการตลาด
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)
แนวข้อสอบ เศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหาภาค
คำสั่ง : ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. รายได้ประชาชาติประเภทใดที่แสดงถึงความสามารถในการผลิตของคนของประเทศ
ก. GDP ข. GNP
ค. NNP ง. NI
จ. DI
ตอบ ข. GNP
GNP Gross National Product ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้นเป็นมูลค่าของสินค้าจากบริการที่ผลิตขึ้นโดยผู้ถือสัญชาติของประเทศหนึ่งในระหว่างเวลาหนึ่งก่อนหักค่าเสื่อมราคาสินค้าต้นทุนออกไป
2. รายได้ประชาชาติประเภทใดที่แสดงถึงอำนาจซื้อของประชาชนได้ดีที่สุด
ก. GDP ข. GNP
ค. NNP ง. NI
จ. DI
ตอบ จ. DI
DI = คู่ Disable Income เห็นรายได้ส่วนบุคคลสุทธิที่ได้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาออกแล้ว รายได้ DI. จะประกอบไปด้วยการบริโภคและการออม
DI = C+S, C : การบริโภค, S : การออม
3. จากสมการการบริโภค C=1,000 + 0.5Yd ถ้ารายได้ส่วนบุคคลสุทธิเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาทจะทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้นเท่าไร
ก. 5 ล้านบาท ข. 500 ล้านบาท
ค. 1,000 ล้านบาท ง. 1,5000 ล้านบาท
จ. 2,000 ล้านบาท
ตอบ ข. 500 ล้านบาท
วิเคราะห์โดยใช้ค่า MPC = b = 0.5 หมายความว่า เมื่อรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 1 บาท จะบริโภคเพิ่มขึ้น 0.5 บาท แต่ถ้ารายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 1,000 บาท จะทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น 500 บาท (0.5 1,000 = 500 บาท)
4. จากสมการการบริโภค C = 1,000 + 0.6 Yd ค่าตัวทวีธรรมดาจะมีค่าเท่าไร
ก. 1.67 ข. 2.5
ค. 5 ง. 8
จ. คำนวณไม่ได้เพราะข้อมูลไม่เพียงพอ
ตอบ ข. 2.5
สูตรค่าตัวทวีธรรมดา (k)
= 2.5
5. จากสมการการบริโภค C = 1,000 + 0.6 Yd และสมการการลงทุน I = 1,500 + 0.2Y ค่าตัวทวีพิเศษจะมีค่าเท่าไร
ก. 1.67 ข. 2.5
ค. 5 ง. 8
จ. คำนวณไม่ได้เพราะข้อมูลไม่เพียงพอ
ตอบ ค. 5
ตัวทวีพิเศษ (k)
สูตร k
6. เงินทำหน้าที่ในการเป็นเครื่องวัดมูลค่าอย่างไร
ก. ค่าเงินเสถียรภาพ
ข. กำหนดมูลค่าทรัพย์สินเป็นจำนวนเงิน
ค. ผู้ชื้อขายยินดีใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ง. การเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียหายง่ายเป็นเงิน
จ. ทำให้ปริมาณเงินคงที่
ตอบ ข. กำหนดมูลค่าทรัพย์สินเป็นจำนวนเงิน
เงินทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดมูลค่า คือการกำหนดมูลค่าหรือบริการที่ต้องการออกมาในรูปตัวเงินเพื่อสะดวกและง่ายในการแลกเปลี่ยน
7. จากทฤษฎีการเงินของเคนส์ เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำควรแก้ไขอย่างไร
ก. เพิ่มปริมาณเงิน ข. ปล่อยค่าเงินลอยตัว
ค. ลดการเก็บภาษี ง. เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล
จ. เพิ่มการส่งออก
ตอบ ก. เพิ่มปริมาณเงิน
การเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น คนว่างงาน การลงทุนลดลง หรือเกิดปัญหาเงินฝืด ใช้มาตรการแก้ไขปัญหาทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ส่วนการเงินต้องเพิ่มปริมาณเงินให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นอยู่โดยซื้อหลักทรัพย์, ลดอัตราเงินสด สำรองตามกฎหมาย, ลดอัตราเงินช่วงซื้อลดตั๋วเงิน
8. ถ้าธนาคารพาณิชย์รับฝากเงินขั้นแรกจำนวน 300 บาท ระบบธนาคารจะสร้างเงินฝากขั้นที่สองได้มากที่สุดเท่าไร ถ้าอัตราเงินสดสำรองเท่ากับร้อยละ 30
ก. 700 บาท ข.1,000 บาท
ค. 1,200 ง.1,500 บาท
จ. 3,000
ตอบ ข. 1,0000
สูตรการสร้างเงินฝาก
การเปลี่ยนแปลงเงินฝากขั้นต้น
อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย
เงินฝากกระแสรายรับที่เปลี่ยนไป
9. ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศที่นำเส้นการผลิตที่เป็นไปได้ (Production Possibility Curve) มาใช้อธิบายได้แก่ทฤษฎีใด
ก. ทฤษฎีการได้เปรียบโดยเด็ดขาด
ข. ทฤษฎีการได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ
ค. ทฤษฎีต้นทุนค่าเสียโอกาส
ง. ทฤษฎีการค้าที่พิจารณาปริมาณทรัพยากร
จ. ถูกเฉพาะข้อ ค. และ ง.
ตอบ ง. ถูกเฉพาะข้อ ค. และ ง.
ศาสตราจารย์ ชาร์เบอเลอร์ (G. Harberier) ได้นำเอาต้นทุนค่าเสียโอกาสมาเป็นหลักพิจารณาการค้าระหว่างประเทศโดยใช้เส้นการผลิตที่เป็นไปได้ (PPC) และทฤษฎีการค้าที่พิจารณาปริมาณทรัพยากร
10. ถ้ารัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนจาก 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ เป็น 27 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเรียกว่าอะไร
ก. การลดค่าเงินตรา ข. การเพิ่มค่าของเงินตรา
ค. การเปลี่ยนค่าของเงินตรา ง. การเสื่อมค่าของเงินตรา
จ. ผิดทุกข้อ
ตอบ ก. การลดค่าเงินตรา
การลดค่า (Devaluation) ของเงินตราเป็นการเปลี่ยนแปลงค่าเสมอภาคโดยรัฐบาลเช่นเดิมอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ต้องใช้เงินบาทแลกมา 25 บาท ต่อมาลดค่าเงินบาทนั้นหมายถึง 1 ดอลลาร์เท่ากันแต่ต้องใช้เงินบาทแลกมา 27 บาท
แนวข้อสอบเศรษฐศาสตร์ (อัตนัย)
(1) ทำอย่างไรรัฐบาลจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ให้อธิบายมา 5 ประเด่น (แสดงเหตุผลตามหลักเศรษฐศาสตร์)
ตอบ เศรษฐกิจทุกระบบย่อมที่จะมีเป้าหมายเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศ ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วนั้นเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (Economic Goals) นั้นเราสามารถกำหนดโดยทั่วๆ ไปได้ 5 ข้อ ดังนี้
การจ้างงานเต็มที่ (Full Employment)
เป้าหมายในเรื่องของการจ้างงานเต็มที่เป็นเป้าหมายที่สำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือการใช้ประโยชน์จากปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เป็นแรงงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งระบบเศรษฐกิจใดถ้าหากมีเรื่องของการว่างงานมาก ย่อมที่จะส่งผลในทางลบต่อเสถียรภาพของประเทศ เพราะว่าการจ้างงานนั้นมีความข้องเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยของรัฐบาลชุดใดก็ตาม เป้าหมายในเรื่องของการทำให้เกิดการจ้างงานนั้นก็ต้องพยายามที่จะทำให้เกิดมากที่สุด ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีการเร่งการในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นความพยายามของทางภาครัฐที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นเป็นครัวของโลก ซึ่งผลที่ได้จากการเร่งสร้างอุตสาหกรรมอาหารนี้ย่อมที่จะก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ความเจริญเติบโตในทางเศรษฐกิจ (Economic Growth)
ความเจริญเติบโตในระบบเศรษฐกิจนั้นก็คือการทำให้เกิดการขยายตัวในกิจกรรมด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของภาคการผลิต ซึ่งการที่ระบบเศรษฐกิจนั้นมีการขยายตัวย่อมส่งผลที่จะทำให้ประชาชนนั้นมีความอยู่ดีกินดีมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเกิดการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลผลิต และรายได้ที่ได้รับจากการผลิตสินค้า และบริการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้นความเจริญเติบโตในทางเศรษฐกิจย่อมที่จะเป็นเป้าหมายของระบบเศรษฐกิจในทุกๆ ประเทศเช่นเดียวกัน
ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ (Price Stability)
ในเรื่องของการรักษาระดับราคาให้มีเสถียรภาพนั้นเป็นนโยบายทางภาครัฐที่ป้องกันมิให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้น หรือลดต่ำลงมากเกินไปจนเกิดเป็นภาวะเงินเฟ้อ หรือเงินฝืด ซึ่งสภาวะทั้งสองนี้ย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพต่อระบบเศรษฐกิจ ถ้าหากเราจะพิจารณาในส่วนของภาวะเงินเฟ้อแล้วนั้นภาวะเงินเฟ้อนั้นจะส่งผลทำให้ระดับราคานั้นเพิ่มสูงขึ้นซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้คงที่ หรือน้อยนั้นประสบความเดือดร้อน เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งทางฝั่งของผู้ผลิตก็ต้องประสบปัญหาในเรื่องของราคาปัจจัยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะถูกสินค้าจากต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่าเข้ามาแย่งตลาดได้ ส่วนในด้านของเงินฝืดนั้นภาวะการณ์รูปนี้จะส่งผลทำให้ระบบเศรษฐเศรษฐกิจนั้นเกิดการชะลอตัว ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเกิดภาวะใดก็ตามก็ย่อมที่จะมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
ดุลยภาพในการชำระเงินระหว่างประเทศ (Equilibrium in the balance of payment)
ในเรื่องของดุลยภาพในการชำระเงินระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องของการรักษาอำนาจในการซื้อของเงิน หรือค่าของเงิน เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น หรือค่าของทองคำ ซึ่งเราเรียกกันง่ายๆ ว่าอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการรักษาดุลยภาพในการชำระเงินระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากประเทศใดไม่มีดุลยภาพในการชำระเงินระหว่างประเทศ เช่น การขาดดุลติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งทางภาครัฐก็ต้องนำเงินส่วนอื่นๆ เข้ามาสมทบเพื่อรักษาดุลยภาพนี้เอาไว้ ซึ่งแทนที่จะนำเงินที่มาสมทบไปใช้ในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในส่วนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ย่อมที่จะไม่เกิดผลดีต่อการพัฒนาประเทศได้
การกระจายรายได้ (Income Distribution)
การกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจ ก็คือการที่ทำให้รายได้ไม่กระจุกตัวเฉพาะบุคคล หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยจะต้องมีการกระจายไปสู่มือของประชาชนทั่วทุกครัวเรือน และจะต้องเท่าเทียมกัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งการวัดความเท่าเทียมนี้สามารถทำได้โดยเส้นลอเรนซ์ (Lorenz Curve) มาใช้ในการหาค่าสัมประสิทธิ์ของจินนี่ (Gini Coefficient) โดยการเปรียบเทียบจำนวนรายได้กับจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้เป็นร้อยละ หากค่า Gini มีค่าเข้าใกล้ศูนย์ก็หมายถึงว่าการกระจายรายได้นั้นมีความเท่าเทียมกัน หากเข้าใกล้หนึ่งก็แสดงว่าเกิดความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้เกิดขึ้น
จากเป้าหมายทั้ง 5 อย่างนี้ ได้มีการกำหนดลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติทุกฉบับ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการที่จะทำให้เป้าทั้ง 5 อย่างบรรลุเป้าหมายพร้อมๆ กันหมดนั้นเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้นในการปฏิบัติ หรือการวางมาตรการทางเศรษฐกิจก็จะต้องมีความระมัด ระวังมากเป็นพิเศษ เพราะจะต้องคอยทำให้เป้าหมายทั้ง 5 นั้นเกิดความสอดคล้องกับนโยบาย หรือมาตรการที่วางเอาไว้ มิฉะนั้นเป้าหมายที่ตั้งขึ้นมาก็มิอาจที่จะบรรลุผลได้
(2) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจาก 30.45 มาเป็น 29.00 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง
ตอบ ผลสะท้อนของเงินบาทแข็งค่า
การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานี้ ส่วนหนึ่งน่าจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทั้งนี้ ในวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นนั้น การแข็งค่าของเงินบาทน่าจะถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ปรกติ
โดยค่าเงินที่แข็งขึ้น จะช่วยลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งช่วยให้รักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางการจะต้องดูแลคือ การป้องกันมิให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดการเก็งกำไรทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและในตลาดทุน (เช่น หากนักลงทุนต่างชาติคาดว่า ทั้งเงินบาทและดัชนีหุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นได้อีก ก็อาจจะนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะทำให้ทั้งค่าเงินและดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีข่าวหรือปัจจัยลบมากระทบ หรือเมื่อเกิดการขายทำกำไร นักลงทุนก็อาจจะตื่นตระหนกและเทขายทั้งหุ้นและเงินบาทออกมาอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่ความผันผวนอย่างรุนแรงได้)
ดังนั้น แม้ว่าการแข็งค่าของเงินบาท จะถือได้ว่าเป็นสันญาณบวกสำคัญอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจ ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่สดใสของนักลงทุน แต่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินมิให้ปรับตัวรวดเร็วเกินไปก็ยังคงเป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากหากปล่อยไว้ก็อาจนำมาสู่การเก็งกำไรและภาวะฟองสบู่ที่ขาดเสถียรภาพได้
เงินบาทแข็งค่า มีผลดีและผลเสียต่อผู้ประกอบการอย่างไร
กรณีผู้ส่งออก
ผลเสีย คือ ขาดทุน หรือขาดทุนกำไร ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการส่งออกปากกา 1 แท่ง ในราคาแท่งละ 35 บาท ซึ่งเมื่อเทียบเป็นเงินดอลล่าห์ ในขณะคำนวณจะเท่ากับ 1 ดอลล่าห์ ก็คือ คุณจะขายปากกาแท่งนั้นในราคา 1 ดอลล่าห์ (สมมติว่าเป็น CIF คือราคารวมประกันและขนส่งแล้ว) กำหนดการชำระเงิน 90 วัน ดังนั้น หลังจากที่คุณส่งปากกาออกไปในราคา 1 เหรียญดอลล่าห์วันนี้ อีก 90 วันถัดมา หลังจากคุณได้รับชำระเงินมา 1 เหรียญ แต่ดอลร่าห์อ่อน บาทแข็งอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลล่าห์ เท่ากับคุณได้รับเงินค่าปากกาในราคา 32 บาทต่อด้ามเท่านั้นเอง ขาดทุนเห็น ๆ 3 บาท ถ้าคุณส่งออกไปมูลค่า 1 แสนเหรียญ คุณจะขาดทุนเห็น ๆ 3 แสนบาท
กรณีผู้นำเข้า
ก็จะกลับกันกับด้านผู้ส่งออก คือ คุณจะได้กำไรจากการนำเข้าแทน คือคุณจะใช้เงินบาทน้อยลงในการแลกเปลี่ยนเป็นดอลล่าห์เพื่อชำระค่าสินค้า หรือเครื่องจักรที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งทั้งสองกรณีมีผลต่อต้นทุนการประกอบการ และหากคุณเป็นผู้ส่งออกและต้องการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว ก็อาจจะทำได้ หลายวิธีเช่น ซื้อ Option ทำ forward หรือแม้แต่การการซื้อขายเป็นเงินบาท แต่ข้อดีข้อเสียคงต้องปรึกษา exim bank
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า
1. ลดดอกเบี้ยลงสัก 1.0 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดดอกเบี้ยนโยบายและควรจะลดทีเดียวไม่ควรจะลดทีละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เพราะการค่อยๆ ลดจะทำให้ไม่เกิดผล และเกิดการคาดการณ์ต่อไปและต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงอัตราเป้าหมาย เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว
2. พร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ย ทางการก็เข้าแทรกแซงตลาด และต้องทำให้พอจนเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถ้าทำครึ่งๆ กลางๆ เงินบาทแข็งต่อไป ธปท.ก็จะขาดทุน ถ้าทำจนบาทอ่อนตัวลงได้ ธปท.ก็จะกำไร ถ้าอ่อนตัวลงได้ถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะล้างขาดทุนเก่าออกได้หมด
3. การออกพันธบัตร เมื่อออกมาแทรกแซงตลาด เงินบาทในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นมากเกิน ธปท.ก็ดูดซับเงินบาทกลับไปโดย ถ้าดอกเบี้ยเงินบาทต่ำ กว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ ธปท.ก็ไม่ขาดทุน ดอกเบี้ยเท่ากัน ธปท.เปลี่ยนดอลลาร์ในทุนสำรองเป็นพันธบัตรซึ่งตลาดยังรับได้ แล้วถ้าตลาดพันธบัตรเกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นผลดีกับการพัฒนาการลงทุนอีกโสตหนึ่งด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างแรงคงจะทำให้ราคาพันธบัตรในท้องตลาดที่มีอยู่แล้วขึ้นราคา แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงการดำเนินการดังกล่าวไม่น่าจะพาบ้านเมืองเข้าไปเสี่ยงกับอะไร เพราะเป็นการซื้อดอลลาร์ เอามาเก็บไว้ ทำให้ทุนสำรองเพิ่ม
4. จัดการบริหารหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ อันได้แก่หนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยออกพันธบัตรเอาเงินบาท ใช้เงินบาทซื้อเงินดอลลาร์แล้วไปใช้หนี้คืนก่อนกำหนดอย่างน้อยสักครึ่งหนึ่ง
5. ในส่วนของเอกชน ถ้าผ่อนคลายกฎของ ธปท.ที่จะทำให้ภาคเอกชนสามารถยืมเงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ไปใช้คืนหนี้ดอลลาร์ได้ เพราะหนี้เงินต่างประเทศเป็นหนี้ของเอกชนเสียตั้งกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถ้า ธปท.ผ่อนคลายได้ เอกชนคงรีบเปลี่ยนหนี้ดอลลลาร์มาเป็นหนี้เงินบาทแทน เพราะจะได้กำไร เพราะตอนได้มาเงินบาทมีราคากว่า 40 บาทต่อเหรียญ ถ้าคืนหนี้ตอนนี้เงินบาทมีราคา 33 บาทต่อเหรียญ เป็นการช่วยธุรกิจเอกชนด้วย ส่วนธนาคารพาณิชย์ให้สามารถปล่อยเงินที่เหลือกองอยู่ในธนาคารด้วย เพราะ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขณะนี้มีอยู่เพียง 85 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินฝากเท่านั้น ที่เอกชนถูกบังคับให้ไปกู้ต่างประเทศ เพราะกฎ ธปท.ที่ให้นับสินเชื่อของบริษัทในกลุ่มเดียวกันเป็นสินเชื่อที่ต้องจำกัดปริมาณเพื่อความมั่นคงของธนาคาร ให้สินเชื่อไม่กระจุกตัวในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป
6. สุดท้ายเร่งโครงการพัฒนาต่างๆ ให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกู้เป็นเงินบาทในประเทศให้มากขึ้น แม้จะไม่เกิดผลทันที แต่ก็น่าจะมีผลทางจิตวิทยาว่า ประเทศยังต้องใช้เงินดอลลาร์อย่างมาก ที่สำคัญนโยบายให้คนไทยเก็บเงินดอลลาร์ได้ ให้เอาเงินออกไปซื้อหุ้นเมืองนอกได้ ไม่ควรทำตอนนี้ ไม่มีผล เพราะผู้คนกำลังคาดการณ์ว่า เงินบาทกำลังจะแข็งต่อไป มีแต่คนอยากเก็บเงินบาท จะมีผลก็ตอนที่คนคาดว่าเงินบาทจะอ่อน คนก็จะเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีก ต้องสั่งยกเลิกอีก กลายเป็นตัวทำให้บาทไม่มีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต ถึงตอนสถานการณ์พลิกกลับอาจจะมีปัญหาได้